ทองคำพุ่งแรงทะลุ 3,800 ดอลลาร์ ท่ามกลางวิกฤตการคลังสหรัฐฯ และสัญญาณเฟดผ่อนคลายนโยบายการเงิน

ราคาทองคำทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่เหนือ 3,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ รวมถึงความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2025 ข้อมูลจาก Investing.com ระบุว่า ทองคำสปอตแตะระดับ 3,812 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าเดือนธันวาคมพุ่งขึ้นใกล้ 3,839 ดอลลาร์ สะท้อนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่งทั่วโลก
ปัจจัยหนุนราคาทองคำ: ความเสี่ยงการคลังและแนวโน้มเฟดลดดอกเบี้ย
นักลงทุนเร่งเข้าถือครองทองคำ หลังเกิดความกังวลว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะปิดหน่วยงาน (Shutdown) หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ภายในสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ต้องล่าช้าออกไป ขณะเดียวกัน ข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE Index) ที่ออกมาตามคาด สร้างแรงเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่ช้า ซึ่งช่วยลดต้นทุนการถือครองทองคำ และส่งผลบวกต่อราคาโดยตรง
การอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ และการไหลเข้าของเงินลงทุนในทองคำผ่านกองทุน ETF ยังตอกย้ำถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะที่ตลาดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ทองคำได้รับแรงหนุนเชิงโครงสร้างทั่วโลก
ไม่เพียงแต่ในสหรัฐฯ ความต้องการทองคำยังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย อินเดียและจีนต่างเห็นราคาทองคำในประเทศแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากแรงซื้อจริงและค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนค่า นอกจากนี้ นักกลยุทธ์บางรายมองว่า ทองคำกำลังกลายเป็นสินทรัพย์สำรองทางเลือก (Parallel Reserve Asset) แทนที่ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศหันมากระจายการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจช่วยยกระดับฐานราคาทองคำให้สูงขึ้นในระยะยาว
มุมมองทางเทคนิค: แนวต้านสำคัญที่ 3,810 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์เทคนิคชี้ว่า บริเวณ 3,800–3,810 ดอลลาร์ ถือเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาและเทคนิคสำคัญ หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้ มีโอกาสเห็นการทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 3,850 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนี RSI ระยะ 14 วันอยู่ที่ระดับ 75.9 ซึ่งบ่งชี้ภาวะ “ซื้อมากเกินไป (Overbought)” ทำให้มีความเสี่ยงของการพักฐานหรือย่อตัวระยะสั้นจากแรงขายทำกำไร
ปัจจัยพื้นฐาน: จุดแข็งและความเสี่ยง
จุดแข็ง:
– ดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำ และคาดการณ์การลดดอกเบี้ยจากเฟด
– ความไม่แน่นอนทางการคลังของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานรัฐ
– การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางและสถาบันทั่วโลก
– การอ่อนค่าของสกุลเงินต่างประเทศ หนุนความต้องการทองคำข้ามพรมแดน
ความเสี่ยง:
– ตลาดอาจสะท้อนคาดการณ์เฟดผ่อนคลายไปแล้ว หากส่งสัญญาณแข็งกร้าวอาจกระทบความเชื่อมั่น
– การคลี่คลายปัญหางบประมาณของสหรัฐฯ อาจลดแรงหนุนทองคำจากความไม่แน่นอน
– เงินเฟ้อที่ทรงตัวหรือกลับมาสูงขึ้นอาจผลักดันเฟดให้ชะลอการลดดอกเบี้ย
– สัญญาณ Overbought ทางเทคนิคอาจนำไปสู่การพักฐานระยะสั้น
ความเห็นจากนักวิเคราะห์และบทวิเคราะห์ตลาด
สำนักข่าว Reuters ระบุว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป ควบคู่กับความกังวลต่อความเสี่ยงจากการปิดหน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ นักวิเคราะห์จาก Reuters ชี้ว่า หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่เหนือเป้าหมายของเฟด อาจจำกัดความยืดหยุ่นของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายการเงิน ส่งผลให้ราคาทองคำยังต้องพึ่งพาสัญญาณผ่อนคลายนโยบายจากเฟด ขณะที่เว็บไซต์ FXStreet รายงานว่า ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด เช่น Christopher Waller และ Raphael Bostic อาจเป็นปัจจัยชี้นำสำคัญของตลาดทองคำในระยะสั้น ด้านมุมมองระยะยาว นักวิเคราะห์หลายรายคาดว่า ราคาทองคำอาจมีโอกาสทดสอบระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคยังคงสนับสนุน
บทสรุป
การปรับขึ้นของราคาทองคำครั้งนี้สะท้อนถึงแรงหนุนจากหลายด้าน ทั้งความคาดหวังการลดดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางการคลัง และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้อต่อแนวโน้มขาขึ้น แต่ตลาดยังคงเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะท่าทีของเฟดและความคืบหน้าด้านงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่งอาจสร้างแรงเหวี่ยงระยะสั้นต่อตลาดทองคำ นักลงทุนจึงควรติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด