หุ้นเอเชียพุ่งแรงรับกระแสเฟดลดดอกเบี้ย นิกเกอิทะยานหลัง GDP ญี่ปุ่นแข็งแกร่งและ “อิชิบะ” ลาออก

ภาพรวมตลาด
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ ท่ามกลางความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐออกมาอ่อนแอ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ขณะที่ GDP ญี่ปุ่นไตรมาส 2 ได้รับการปรับขึ้นเกินคาด และการประกาศลาออกของ นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ กลายเป็นปัจจัยทางการเมืองที่สร้างความผันผวน แต่กลับหนุนแรงซื้อในตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน โดยนักลงทุนให้น้ำหนักสูงต่อการลดอย่างน้อย 25 จุดฐาน หากเฟดเดินหน้าตามคาดการณ์ สภาพคล่องทั่วโลกจะเอื้อต่อ ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Asia Stocks Rally) ลดแรงกดดันต่อค่าเงินเยนและวอน พร้อมหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
ญี่ปุ่น: เศรษฐกิจและการเมือง
ญี่ปุ่นรายงาน GDP ไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่งเกินคาดจากการส่งออกและการบริโภคภาคเอกชน ผนวกกับการลาออกของอิชิบะ ทำให้ ดัชนีนิกเกอิ 225 และ TOPIX พุ่งขึ้นกว่า 1.5–1.8% นักลงทุนมองว่าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลังเพิ่มเติม แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงสูง
มุมมองภูมิภาค
แรงบวกไม่ได้จำกัดอยู่ที่ญี่ปุ่น ตลาดหุ้นจีน ฮั่งเส็ง ปรับขึ้นเล็กน้อยแม้ข้อมูลการส่งออกยังอ่อนแอ ขณะที่ดัชนี CSI 300 เคลื่อนไหวแบบผสมผสาน อินเดียโดยเฉพาะ Nifty ยังคงแข็งแกร่งจากอุปสงค์ภายในประเทศ ส่วนเกาหลีใต้ KOSPI ปิดบวกเล็กน้อย ด้านอินโดนีเซียและมาเลเซียได้แรงหนุนจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มการเงินและพลังงาน
การตอบสนองของตลาด
การดีดตัวของนิกเกอิเข้าใกล้ระดับสูงสุดกลางเดือนสิงหาคม โดยมีแรงหนุนจากเงินทุนระยะสั้นและการซื้อขายเชิงอัลกอริทึม การปรับขึ้นครอบคลุมหลายภาคส่วน ทั้งธนาคาร ยานยนต์ และเทคโนโลยี สะท้อนการเก็งกำไรในเชิงนโยบายมากกว่าธีมเฉพาะ นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบันต่างชาติยังคงเป็นผู้เล่นหลักในการซื้อหุ้นญี่ปุ่น หากโมเมนตัมยืนได้ นิกเกอิอาจทดสอบระดับ 40,000 จุด
ค่าเงินและพันธบัตร
ค่าเงินเยนอ่อนค่าประมาณ 0.6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สร้างความกังวลต่อเงินเฟ้อนำเข้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นระยะยาวปรับสูงขึ้น สะท้อนความกังวลด้านวินัยการคลัง ส่วนพันธบัตรสหรัฐปรับลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หนุนบรรยากาศ Risk-On ทั่วโลก นักลงทุนจับตาว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพหรือไม่
สินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาทองคำเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนบทบาทการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายและภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นตามวินัยการควบคุมอุปทานของ OPEC+ แม้อุปสงค์โลกยังผันผวน อินเดียและจีนในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ มีความเสี่ยงจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น กดดันดุลการค้าในระยะถัดไป
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
ทางเทคนิค นิกเกอิกำลังทดสอบแนวต้านสำคัญ โดย RSI และ MACD ใกล้เข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป นักลงทุนควรจับตาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันและ 200 วัน หากทะลุแนวต้านได้ อาจเกิดแรงซื้ออัตโนมัติหนุนดัชนีต่อเนื่อง แต่หาก RSI เข้าสู่เขต Overbought อาจเกิดแรงขายทำกำไรในระยะสั้น
ทางปัจจัยพื้นฐาน ความแข็งแกร่งของกำไรบริษัทในเอเชียยังเป็นคำถามสำคัญ กลุ่มเทคโนโลยีและการเงินยังเป็นตัวแปรหลัก ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ผันผวนจากความตึงเครียดสหรัฐ–จีน ส่วนกลุ่มธนาคารอาจได้อานิสงส์หากความต้องการสินเชื่อยังคงเติบโต แต่หากการใช้จ่ายผู้บริโภคโลกชะลอ อาจกดดันกำไรจากการส่งออก
มุมมองนักวิเคราะห์
– ปีเตอร์ การ์นรี จาก Saxo Bank มองว่าข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแออาจเป็นเหตุผลให้เฟดลดดอกเบี้ยเชิงรุก หนุนทั้งค่าเงินและหุ้นเอเชีย
– ไคล์ รอดดา จาก Capital.com ชี้ว่าการลาออกของอิชิบะจะถูกตีความในแง่นโยบายการคลัง เงินเฟ้อ และทิศทาง BOJ ซึ่งหากนโยบายผ่อนคลายยังดำเนินต่อ จะช่วยหนุนตลาดทุน
– Morgan Stanley เตือนว่าการผ่อนคลายจากเฟดแม้จะช่วยเอเชีย แต่การชะลอตัวโครงสร้างของจีนยังคงเป็นความเสี่ยงใหญ่
– UBS ระบุว่าความว่างเปล่าทางการเมืองในญี่ปุ่นอาจทำให้การปฏิรูปสำคัญล่าช้า สร้างความเสี่ยงระยะกลาง
บทสรุป
การปรับตัวขึ้นของ ตลาดหุ้นเอเชีย สะท้อนการตอบสนองต่อปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองที่ซับซ้อน ข้อมูลแรงงานสหรัฐที่อ่อนแอและการคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดหนุนกระแส Risk-On ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นแข็งแกร่งและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วยเสริมแรงซื้อ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงอ่อนไหวต่อข้อมูลใหม่และความเสี่ยงด้านนโยบาย โดยการประชุมเฟดเดือนกันยายนจะเป็นตัวชี้ขาดสำคัญต่อทิศทางค่าเงิน พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นในไตรมาส 4