คลังความรู้เทรดเดอร์

รู้จัก Drawdown เครื่องมือชี้วัดความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องรู้

รู้จัก Drawdown ตัวเลขที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องระวัง! เพราะถ้าคุณไม่รู้จักมัน อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะกู้พอร์ตกลับคืน

หนึ่งในตัวเลขที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จระยะยาวของนักลงทุนและเทรดเดอร์ คือ Drawdown หากคุณไม่เข้าใจความหมายและไม่สามารถจัดการมันได้อย่างเหมาะสม แม้กลยุทธ์การเทรดที่ดูดีแค่ไหนก็อาจพังทลายลงได้ภายในเวลาไม่นาน บทความนี้จะอธิบายว่า Drawdown คืออะไร ทำไมมันถึงเป็นตัวเลขที่สำคัญ ประเภทของ Drawdown ที่ควรรู้ วิธีการคำนวณ ไปจนถึงกลยุทธ์จัดการความเสี่ยง เพื่อให้คุณสามารถวางแผนและควบคุมพอร์ตการลงทุนได้อย่างมืออาชีพ

Drawdown คืออะไร

Drawdown คือการวัดระดับการลดลงของมูลค่าพอร์ตจากจุดสูงสุด (Peak) มายังจุดต่ำสุด (Trough) ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงและความยั่งยืนของกลยุทธ์การลงทุน
ยกตัวอย่างง่ายๆ หากพอร์ตคุณมีเงิน 100,000 บาท และลดลงเหลือ 70,000 บาท นั่นหมายความว่าคุณเผชิญ Drawdown 30% ซึ่งการกลับมาที่ทุนเดิม (100,000 บาท) คุณต้องทำกำไรเพิ่ม 42.8% ไม่ใช่แค่ 30%
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า Drawdown ไม่ใช่แค่การขาดทุนระยะสั้น แต่เป็นตัวเลขที่สะท้อนความยากง่ายในการฟื้นตัวของพอร์ต

ประเภทของ Drawdown

Absolute Drawdown: วัดความต่างระหว่างเงินลงทุนเริ่มต้นกับจุดต่ำสุดของ Equity ที่เคยลดลง เหมาะสำหรับดูว่าเราสูญเสียทุนจริงไปมากน้อยแค่ไหน
Maximum Drawdown: เป็นการวัดการขาดทุนสูงสุดจากจุดพีค (Peak) จนถึงจุดต่ำสุด (Trough) ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ใช้กันแพร่หลายที่สุดเพราะบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่กลยุทธ์สามารถทนได้
Relative Drawdown: คำนวณเป็นสัดส่วน (%) เมื่อเทียบกับ Equity สูงสุด เหมาะสำหรับการประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์หรือกองทุน เพราะสามารถเปรียบเทียบข้ามพอร์ตที่มีขนาดต่างกันได้

ทำไม Drawdown จึงสำคัญ

1. ชี้วัดความเสี่ยงจริงของพอร์ต – ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนที่คุณทำได้ แต่คือความเสี่ยงที่คุณแบกรับ
2. สะท้อนจิตวิทยาการลงทุน – Drawdown ที่สูงเกินไปอาจทำให้เทรดเดอร์เสียสมาธิและตัดสินใจผิดพลาด
3. กำหนด Money Management – ตัวเลขนี้ช่วยให้คุณรู้ว่าควรใช้ Leverage เท่าไร หรือขนาด Position ที่เหมาะสมคือเท่าใด
3. เปรียบเทียบกลยุทธ์ – แม้สองกลยุทธ์จะให้ผลตอบแทนเท่ากัน แต่กลยุทธ์ที่มี Drawdown ต่ำกว่าย่อมปลอดภัยกว่า

วิธีคำนวณ Drawdown

สูตรทั่วไปคือ
Drawdown (%) = (Peak Equity – Trough Equity) ÷ Peak Equity × 100
ตัวอย่าง:
Peak Equity = $10,000
Trough Equity = $7,500
Drawdown = (10,000 – 7,500) ÷ 10,000 = 25%
การติดตามสถิติ Maximum Drawdown ของพอร์ตหรือระบบเทรดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการประเมินความเสี่ยง

กลยุทธ์จัดการ Drawdown แบบมืออาชีพ

การใช้ Stop Loss อย่างมีวินัย
Stop Loss ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อจำกัดการขาดทุน แต่ยังช่วยควบคุม Drawdown ให้อยู่ในระดับที่จัดการได้
การบริหารขนาดการลงทุน (Position Sizing)
การใช้ Leverage หรือเปิด Position ที่ใหญ่เกินไปมักเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Drawdown สูง การกำหนดขนาด Position ที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมความเสี่ยงได้
การกระจายการลงทุน (Diversification)
การลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย เช่น Forex, Crypto, ทองคำ หรือหุ้น จะช่วยลดความผันผวนรวมของพอร์ต
การประเมินและปรับกลยุทธ์
ระบบที่เคยทำกำไรได้ดีอาจไม่เหมาะกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป การติดตาม Drawdown อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณรู้ว่าถึงเวลาต้องปรับกลยุทธ์หรือไม่

Drawdown กับจิตวิทยาการลงทุน

จุดที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ล้มเหลวไม่ใช่เพราะกลยุทธ์ไม่ดี แต่เพราะไม่สามารถรับมือกับ Drawdown ได้ ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่เห็นพอร์ตติดลบ 40% อาจรีบปิดพอร์ตทั้งหมดด้วยความกลัว ทั้งที่กลยุทธ์อาจกลับมาให้ผลตอบแทนได้ในระยะยาว
ดังนั้น ความเข้าใจ Drawdown ไม่เพียงช่วยปกป้องเงินลงทุน แต่ยังช่วยเสริมสร้างวินัยและความมั่นคงทางอารมณ์ของนักลงทุน

บทสรุป

Drawdown คือ “ตัวเลขที่ไม่ควรถูกมองข้าม” มันไม่เพียงสะท้อนถึงการขาดทุนชั่วคราว แต่เป็นตัวบอกว่าคุณต้องใช้เวลาและความพยายามมากแค่ไหนในการกู้คืนพอร์ตกลับมา เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักไม่ใช่คนที่ได้กำไรสูงสุด แต่คือคนที่สามารถควบคุม Drawdown ได้ดีที่สุด หากคุณเข้าใจและบริหารจัดการ Drawdown ได้อย่างมืออาชีพ คุณจะมีโอกาสยืนหยัดอยู่ในตลาดการเงินได้ยาวนานและยั่งยืน

Fintapx

Recent Posts

ข่าวภาษีศุลกากรเขย่าตลาดโลก: ทองคำพุ่งทะยาน คริปโตร่วงหนัก นักลงทุนหันหาสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง

ในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม 2025 ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 100% และจีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มค่าธรรมเนียมท่าเรือ ส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกเข้าสู่ภาวะผันผวนทันที นักลงทุนเร่งโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงและหันกลับมาถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลราคาทองคำพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราคาทองคำในตลาดสปอตพุ่งแตะระดับ 4,078.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์…

2 days ago

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าทำสถิติสูงสุดปี 2025 ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลเข้าและความไม่แน่นอนทั่วโลก

ดอลลาร์สหรัฐกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในปี 2025 โดยแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดของปี จากแรงหนุนของกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ข้อมูลจาก Bank of America ชี้ว่าความต้องการลงทุนในดอลลาร์อยู่ในระดับสูงสุดของปี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่งปัจจัยหลักที่หนุนดอลลาร์แข็งค่านโยบายการเงินที่แตกต่างกันทั่วโลก – ขณะที่หลายประเทศเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐยังคงคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแรง ส่งผลให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์สกุลดอลลาร์โดดเด่นกว่าเศรษฐกิจสหรัฐที่ยืดหยุ่น…

2 days ago

ตลาดคริปโตสูญมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์ หลัง “ทรัมป์” เก็บภาษีนำเข้าจีน 100% เขย่าตลาดโลก

ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บ ภาษีนำเข้าจากจีน 100% สำหรับสินค้าประเภทเทคโนโลยี พร้อมควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญ ส่งผลให้เกิดแรงเทขายรุนแรงในตลาดคริปโต โดย บิตคอยน์ (Bitcoin) ร่วงกว่า 8.4% แตะระดับ…

3 days ago

จับตาข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานและสุนทรพจน์พาวเวลล์ จุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางตลาดโลก

ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ สายตานักลงทุนทั่วโลกจะจับจ้องไปที่สองเหตุการณ์สำคัญ — รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claim) และสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ (Powell Speech) ซึ่งอาจเป็นจุดชี้ชะตาทิศทางของตลาดการเงิน…

1 week ago

ราคาทองคำทะลุ 4,000 ดอลลาร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สะท้อนความกังวลทางเศรษฐกิจโลก

ราคาทองคำ (Gold Price) ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ตามรายงานจาก Reuters ผ่าน Investing.com…

1 week ago

รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มปิดทำการชั่วคราว: ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและปฏิกิริยาของตลาดต่อภาวะชะงักงันด้านงบประมาณ

เมื่อเวลา 00:01 น. ของวันที่ 1 ตุลาคม 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เข้าสู่ภาวะ ปิดทำการชั่วคราว (Government Shutdown) อย่างเป็นทางการ หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่หรือร่างขยายงบชั่วคราวได้สำเร็จการขาดฉันทามติระหว่างสองพรรค โดยเฉพาะในประเด็นงบประมาณด้านสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายภาครัฐส่วนเลือกสรร…

2 weeks ago