
ครบรอบ 5 ปีโควิด หุ้นฟาร์มาลอยเคว้ง ท่ามกลางนโยบายสหรัฐที่ยังไม่แน่นอน
มิลาน – หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก ณ ขณะนี้ มีมูลค่าต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แม้ว่ากระแสเงินเริ่มไหลกลับเข้ากองทุนกลุ่มนี้อีกครั้ง แต่นักลงทุนก็ยังลังเล เนื่องจากความไม่ชัดเจนเรื่อง นโยบายราคายาของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของ Donald Trump ในช่วงโควิด นักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นบริษัทยา แต่เมื่อกระแสเทเงินหันไปหา หุ้นเทคโนโลยี แทน กลุ่มเฮลธ์แคร์จึงถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ปัจจุบัน หุ้นกลุ่มนี้ซื้อขายที่ ค่า P/E ล่วงหน้าเพียง 15.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 11% และต่ำกว่าตลาดโลก 20% ซึ่งถือว่า “ถูกที่สุดในรอบ 16 ปี” โดยอิงข้อมูลจาก LSEG Datastream สเตฟานี อาเลียกา นักกลยุทธ์จาก J.P. Morgan มองว่า “ความกังวลเรื่องนโยบายกำลังกดดันราคาหุ้น ถึงแม้การประเมินมูลค่าจะดูน่าดึงดูด”
ปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดความเชื่อมั่น
ความไม่แน่นอนหลักอยู่ที่การที่รัฐบาล Trump พยายามรื้อฟื้นนโยบาย “Most-Favored-Nation Drug Pricing” ซึ่งอาจกระทบรายได้บริษัทยาในสหรัฐ และมีความเป็นไปได้ที่จะเรียกเก็บ ภาษีนำเข้ายาสูงถึง 200% สำหรับสินค้าบางรายการ นักลงทุนยังลังเล แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกในระยะยาว เช่น
– สังคมผู้สูงอายุ
– ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี RNA
– ยารักษาเบาหวานและลดน้ำหนักรุ่นใหม่
อัลแบร์โต คอนกา จาก LFG+ZEST Wealth Management ระบุว่าได้ทยอยเข้าซื้อหุ้นกลุ่มนี้ โดยมองว่า “เป็นบริษัทคุณภาพที่มีความแข็งแกร่งทางกระแสเงินสด แต่ราคาถูกเหมือนอยู่ในสถานการณ์วันสิ้นโลก ซึ่งผมเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง” กองทุน M&G ในอังกฤษก็เริ่มเพิ่มน้ำหนักในกลุ่มเฮลธ์แคร์เช่นกัน
หุ้นยังไม่ฟื้น แม้มีสัญญาณบวก
ข้อมูลจาก EPFR เผยว่า กองทุนกลุ่มเฮลธ์แคร์มีเงินไหลเข้าตั้งแต่ต้นปี 2024 รวมกว่า 7.2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะลดลง 41% จากปีก่อน แสดงว่านักลงทุนบางส่วนเริ่มกลับมาให้ความสนใจ ถึงแม้จะมีนวัตกรรมใหม่ๆ และการควบรวมกิจการ (M&A) ที่เริ่มฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นยัง “ไม่ขยับ” เพราะตลาดยังรอ “ตัวกระตุ้นที่ชัดเจน” ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น
หุ้นสุขภาพถูกที่สุดในรอบหลายปี
ในอดีต หุ้นกลุ่มนี้มักซื้อขายด้วย มูลค่าสูงกว่าตลาดโดยรวม เพราะมีลักษณะ “ป้องกันความเสี่ยง” และมีกระแสรายได้มั่นคง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเฮลธ์แคร์ในสหรัฐฯ แพ้ตลาดไปถึง 60 จุดเปอร์เซ็นต์ และปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ถึง 27% เอ็ดดี ยุน จาก Fidelity มองว่า “ตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอน ถึงหุ้นจะถูก แต่ก็ยังไม่ใช่เวลาซื้อ ถ้ายังไม่มีแรงกระตุ้นที่ชัดเจน” เขาให้ตัวอย่างว่า หุ้นขนาดเล็กอย่าง Alnylam และ Penumbra (NYSE:PEN) เริ่มพลิกมีกำไร ซึ่งในอดีตเป็นจุดที่หุ้นสุขภาพมักจะกลับมาแข็งแกร่ง
ตลาดยุโรปยิ่งถูกกว่า
หุ้นเฮลธ์แคร์ยุโรปก็โดนกดดันเช่นกัน โดยซื้อขายที่ค่า P/E เพียง 14.3 เท่า เช่น กรณี Novo Nordisk (NYSE:NVO) ที่ราคาหุ้นร่วงถึง 55% ในปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันในตลาดยาลดน้ำหนัก และการปรับการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีในสหรัฐฯ AstraZeneca (NASDAQ:AZN) ก็ประกาศลงทุนในสหรัฐฯ ถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อปรับโครงสร้างรายได้
สรุป: หุ้นฟาร์มา – ถูก แต่ยังเสี่ยง
แม้หลายฝ่ายจะมองว่า “ความเจ็บปวดของกลุ่มนี้อาจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว” แต่ตราบใดที่ความไม่แน่นอนทางนโยบายสหรัฐยังไม่คลี่คลาย ก็ยากที่จะเห็นแรงซื้อเข้ามาอย่างจริงจัง